แกะรอยอดีต เชื่อมโยงอนาคต
มิติเร้น มหันตภัยโลก
โลกและจักรวาล..... มิใช่มีแค่เฉพาะที่เคยพบและสัมผัสได้ด้วยประสาททั้งห้า
ชุนคำ จิตจักร
ที่ไม่เคยพบ มิใช่ไม่มี
เมื่อสมัยที่โลกยังไม่ได้ค้นพบ ไฟฟ้า คลื่นความถี่ การแปรเปลี่ยนของสสารและพลังงาน หน่วยความจำ ซอฟแวร์ การถ่ายทอดและตัดต่อทางพันธุกรรม ฯลฯ ชาวโลกของเราก็คงเห็นว่าเรื่องพวกนี้ดูออกจะเลื่อนลอยเพ้อฝันเสียมากกว่าที่จะมีมูลความจริง อย่าว่าแต่จะขึ้นจรวดไปสำรวจดวงจันทร์และดวงดาวต่างๆเลย เอาแค่โลกกลมคือแล่นเรือไปไม่ตกโลกก็เป็นเรื่องเหลือเชื่อที่ใหญ่โตเกินไปเสียแล้ว ใครบ้างจะนึกว่าเรื่องเหล่านี้เป็นความจริง
โลกที่ปรากฏในชีวิตประจำวันของเราก็ มีพื้นดิน มีฟ้า มีน้ำ มีต้นไม้ ฯลฯ ถ้าถามว่าใต้ดินลึกลงไปตรงที่เราอยู่นี้มีอะไรส่วนใหญ่แล้วเราจะไม่เคยเห็น ถ้าเกิดมีการขุดค้นพิสูจน์พบว่าเป็นโพรงถ้ำใต้โลกกว้างเท่าเมืองใหญ่ต่อกันไปหลายกิโลเราถึงรู้ว่าสิ่งที่มีอยู่เป็นแบบนี้ อันที่จริงถ้าถามว่าตอนที่เราไม่รู้นั้นมันมีเป็นแบบนี้อยู่ไหมก็คงตอบว่ามันมีอยู่ตามธรรมชาติของมันอยู่แล้ว ไม่ว่าเราจะรู้หรือไม่ก็ตาม เช่นเดียวกับคลื่นอิเล็กตรอนที่วิ่งอยู่ในสสารก็มีอยู่มาตลอดแม้ในระยะเวลาล่วงเลยที่คนเรายังไม่สามารถค้นพบมัน
ถ้าตาทิพย์มีจริง การเห็นชั้นภูมิอื่นๆก็เป็นเรื่องจริง.....
บางครั้งผู้เขียนเองก็ไม่ค่อยแน่ใจว่าจะอธิบายกับลูกหลานและอนุชนรุ่นหลังอย่างไรดีว่า บางสิ่งบางอย่างนั้นยังไม่ควรจะรับหรือปฏิเสธตราบใดที่เรายังไม่รู้ความจริง ผู้เขียนจึงได้แต่พูดถึงวิธีคิดและประสบการณ์ของตัวเองตามมีตามเกิด เผื่อว่าเขาจะนำไปพิจารณาบ้าง
ตาทิพย์ การเห็นได้ด้วย ทิพยจักขุญาณ หรือตาในนั้น ในช่วงชีวิตของผู้เขียนเคยได้พบและใกล้ชิดกับนักปฏิบัติธรรมมามาก จึงขอเรียนว่ามีนักปฏิบัติธรรมหลายท่านในเมืองไทยเรานี้ที่น่าจะเข้าถึงสภาวะที่เรียกว่าตาทิพย์ได้ ผู้เขียนเคยพิสูจน์หลายต่อหลายครั้งอย่างเช่น อุบาสิกาท่านหนึ่งซึ่งร่วมเดินทางไปทำบุญที่วัดป่าด้วยกัน ก่อนเดินทางไปท่านก็ทำจิตนึกไปถึงที่วัดแล้วบอกว่า วัดนี้มีลำธารลักษณะอย่างนี้ไหลผ่านกลางวัดซึ่งก็ตรงกับความจริงอย่างที่บอก เรื่องเช่นนี้มีซ้ำๆและได้ตรวจสอบรายละเอียดข้อสงสัยแล้วจนมั่นใจ ถ้ามีอนุชนรุ่นหลังสนใจพิสูจน์ก็มีบุคคลที่อาจเป็นกรณีศึกษาซึ่งน่าจะหาพบได้ไม่ยากนักในหมู่นักปฏิบัติธรรมยุคนี้
หยั่งรู้วาระจิต การอ่านใจผู้อื่นได้ด้วย เจโตปริยญาณ นั้น ผู้เขียนได้รับประสบการณ์ลักษณะนี้บ่อยมากเพราะอยู่ใกล้พระครูบาอาจารย์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เวลามีทุกข์มีปัญหาคาใจไปหาท่านทีไรแล้วแทบจะไม่ต้องถาม เพราะท่านจะพูดตอบออกมาเป็นเรื่องๆข้อๆในส่วนที่บอกได้ ส่วนที่บอกไม่ได้(เพราะกรรมของเรา)ก็ไม่ต้องไปรบเร้าถามอะไรมากเพราะจะอย่างไรท่านก็ไม่บอกอยู่แล้ว(เคยพยายามแล้ว) นอกจากนี้ ผู้เขียนยังมีเพื่อนสนิทที่เป็นนักปฏิบัติซึ่งอ่านใจเราได้อีก ก็เลยแทบจะต้องใช้ชีวิตประจำวันส่วนใหญ่อยู่กับคนที่อ่านใจเราได้ในช่วงระยะเวลานาน แม้แต่เรื่องเล็กๆน้อยๆหรือเรื่องใหญ่ก็รู้จนไม่มีอะไรจะต้องปกปิดกันอีกแล้ว อย่าว่าแต่สภาวะอารมณ์เราเลย แม้แต่คำพูดคำบ่นเล็กๆในใจก็ยังรู้ แล้วยังจะต้องพิสูจน์อะไรอีก
วิธีคิด เรื่องของ วิชชา ที่เป็นผลพลอยได้จากการปฏิบัติในทางพระพุทธศาสนานี้เป็นเรื่องที่พิสูจน์ได้จริง แต่เรื่องสำคัญคือผู้ที่พิสูจน์ อย่าไปเหมารวม กับ การบรรลุธรรม หรือ การเข้าถึงคุณธรรม ของบุคคลนั้น มีคนที่เข้าถึงวิชชามากมายที่ยังเป็นผู้มีกิเลสอยู่เต็มตัวและพยายามฝึกฝนเพื่อละกิเลสอยู่เหมือนกันซึ่งจะเป็นทางถูกหรือทางผิดก็ยากที่จะระบุชัด ที่ร้ายกว่านั้นคือมีฤทธิ์เพิ่มขึ้นมาอีกและอาจสอนคนอื่นถูกๆผิดๆได้เหมือนกัน บางทีก็ได้บ้างเสื่อมบ้างเอาแน่ไม่ได้
ฉะนั้น วิธีคิดในเรื่องของโลกก็เหมือนกัน เมื่อเราพูดว่า ...ถ้าตาทิพย์มีจริง การเห็นชั้นภูมิอื่นๆก็เป็นเรื่องจริง... มันก็มีขอบเขตความหมายอยู่เพียงแค่นั้น ...การเห็นภพภูมิอื่นนั้นเห็น...แต่ว่าเห็นจริงตามที่มันเป็นหรือเปล่า... นี่คงต้องยกไว้อีกเรื่องหนึ่ง แม้การเห็นก็ยังต้องพิสูจน์ด้วยเหมือนกันว่ามีคุณภาพแค่ไหน ถ้าเห็นวัตถุมีลักษณะชัดเจนอยู่ลึกใต้ดินแล้วขุดดินลงไปพิสูจน์ดูพบวัตถุนั้นมีลักษณะตรงตามรายละเอียดที่เห็นก็น่าจะเป็นที่เริ่มของการยอมรับในคุณภาพของการเห็นได้ แต่ก็มีขอบเขตความหมายเท่านั้นจริงๆ ไม่ได้เหมารวมไปถึงว่าเขาละกิเลสได้แล้วหรือเป็นหลักประกันว่าเขาถูกเลือกเป็นตัวแทนของสิ่งศักดิ์สิทธิ์และเทพเจ้าใดๆ เรื่องของวิชชาเป็นเรื่องที่คนเราธรรมดาสามัญก็สามารถฝึกฝนและเข้าถึงได้
ในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนากล่าวถึงการเจริญสมถะกรรมฐาน เช่น เพ่งแสงสว่าง เพ่งไฟ เพ่งสีขาว เพ่งช่องว่าง เป็นต้น ทำให้เกิดตาทิพย์ หากเรื่องนี้ไม่มีมูลความจริงก็คงจะถูกหักล้างไปก่อนหน้านี้เสียนานแล้ว
คิดดูเถอะว่า เวลากว่าสองพันปีมาแล้ว ไม่มีใครสามารถหักล้างความจริงหรือคัดค้านในเชิงปฏิบัติอย่างสมเหตุสมผลว่าฝึกอาโลกกสิณ(เพ่งแสงสว่าง)แล้วจะไม่ทำให้เกิดสภาวะ...ตาทิพย์...
มองผ่านชั้นความละเอียดของธาตุ
โลกและจักรวาลมิใช่มีแค่เฉพาะที่สัมผัสได้ด้วยประสาททั้งห้า
ปราชญ์ในทางพระพุทธศาสนาแต่โบราณท่านได้ส่งผ่านความคิดฝากไว้กับตำนานและคัมภีร์มากมายในเรื่องของโลกและจักรวาลที่ปรากฏนอกเหนือจากประสาทสัมผัสทั้งห้า เช่น พระญาณวิลาศ(พระเถระชาวลาว)และพระพระสิริมังคลาจารย์(พระเถระชาวไทย) เป็นต้น ดังความตอนหนึ่งใน “จกฺกวาลทีปนี สงฺขยาปกาสกฎีกา โลกสัณฐานโชตรตนคัณฐี: ศึกษาจากพระไตรปิฎก อรรถกถา ฎีกาตลอดจนคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาเปรียบกับหลักวิทยาศาสตร์” ในธรรมศึกษาวิจัยของ ธีรวัส บำเพ็ญบุญบารมี กล่าวไว้ว่า
"ละอองใดของทิพยจักษุญาณเป็นละอองที่ละเอียดเล็กเหลือเกิน ไม่ควรแก่อารมณ์ของจักษุวิญญาณที่อาศัยอยู่ในประสาทจักษุเลย ธุฬี นั้นชื่อว่า ปรมาณู" โดยนัยนี้ก็คือ ปรมาณูเป็นสิ่งที่ละเอียดเกินกว่าตามนุษย์จะมองเห็นได้ เกินว่าวิสัยอินทรีย์ของมนุษย์ ท่านใช้คำว่า "เป็นส่วนเท่า อากาศ" ไม่เป็นอารมณ์ของมังสจักษุ(ตาเนื้อ) เป็นอารมณ์ของทิพย์จักษุ(ตาทิพย์)เท่านั้น คำว่า "ธุฬี" นั้นหมายถึง "ย่อมไหว" คือ ย่อมฟุ้งด้วยลม ดังนั้น ธุฬี ที่ ละเอียดยิ่งกว่าอณู ชื่อว่า "ปรมาณู”
ในส่วนนี้กล่าวไว้อย่างชัดเจนถึงหน่วยของสิ่งเล็กๆในระดับต้นๆที่ตาเนื้อของคนเราเริ่มจะไม่สามารถมองเห็นซึ่งมันก็มีอยู่แล้วในธรรมชาติเช่นกัน.....
ชุนคำ จิตจักร : เรียบเรียง : เจ้าของลิขสิทธิ์
ลงพิมพ์ในนิตยสารมหามงคล ปีที่ 2 ฉบับที่ 20 ประจำเดือนสิงหาคม 2554
มิติทิพย์.....คู่ขนานมิติโลกทางกายภาพ...
ชุนคำ จิตจักร
เบื้องลึกที่เหมือนน้ำแข็งใต้น้ำ
กล่าวกันว่า คนที่สามารถพิสูจน์ด้วยตัวเองจนรู้ว่า การรู้เห็นอันนอกเหนือจากการใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้า เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดขึ้นได้จริงในชีวิต ก็ถือว่าเริ่มได้พบก้าวย่างที่แท้จริงในการสำรวจชั้นภูมิอื่นๆในธรรมชาติแล้ว เมื่อทบทวนตรวจสอบและทำให้ชำนาญขึ้นจนมั่นใจ บรรดาเรื่องราวแง่คิดคลุมเครือทั้งหลายที่คนเขาถกเถียงกันอยู่ในยุคสมัยนี้ก็จะไม่มากวนใจอีกต่อไป การมองโลกโดยสภาพความจริงตามที่มันเป็นก็จะขยายกว้างใหญ่ไพศาลออกไป
สิ่งต่างๆที่ปรากฏชัดอยู่ในประสาทสัมผัสทั้งห้าของคนเรานี้ หากกล่าวตามหลักเหตุผลอย่างรวบยอดจริงๆในธรรมชาติแล้วมันก็มีเหตุปัจจัยที่มา ไม่ใช่มีแค่เหตุปัจจัยช่วงสั้นๆบางช่วงเท่านั้น เช่น เอามือไปจับไฟแล้วรู้สึกร้อน แล้วก็ตัดตอนเอามาวิเคราะห์วิจัยกันแค่นั้น มันยังมีเหตุที่เกิดไฟขึ้นมา ยังมีตัวตนของคนที่บอกว่าร้อน และมีวิธีการดับไฟอย่างถาวรอีก โลกของประสาทสัมผัสทางกายเนื้อนั้นปรากฏแก่เรา เหมือนกับส่วนที่โผล่ขึ้นมาของก้อนน้ำแข็งที่ลอยน้ำเท่านั้น ส่วนที่มีมากกว่าซึ่งจมอยู่ใต้น้ำนั้นไม่ปรากฏให้เราเห็น เช่นเดียวกับมหันตภัยโลกของเราที่ยังมีเหตุที่มาซึ่งมีอยู่ในมิติเร้นอีกมาก.............
ชุนคำ จิตจักร : เรียบเรียง : เจ้าของลิขสิทธิ์
ลงพิมพ์ในนิตยสารมหามงคล ปีที่ 2 ฉบับที่ 21 ประจำเดือนกันยายน 2554